อยากสวยจบแบบไม่ต้องเจ็บตัวด้วยโปรแกรม Ultherapy Prime

โปรแกรม Ultherapy และโปรแกรม Ultherapy Prime ต่างกันอย่างไร

                โปรแกรม Ultherapy Prime เป็นโปรแกรมที่พัฒนามาจากโปรแกรม Ultherapy แต่จะมีการปรับปรุงรูปลักษณ์ของตัวเครื่องให้ดูดีและทันสมัยขึ้น มีความแม่นยำในการสแกนชั้นผิวหนังมากขึ้น ทำให้สามารถทำการรักษาได้เร็วขึ้น 20 % ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นและมีการยกกระชับของใบหน้าที่นานมากกว่า Ultherapy รุ่นเดิม

ข้อดีของ Ultherapy Prime

  • มีความแม่นยำมากขึ้นทั้งในด้านการสแกนชั้นใต้ผิวหนังและด้านการส่งพลังงาน เมื่อมีความแม่นยำมากขึ้นเวลาที่ใช้ในการรักษาจะน้อยลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง โปรแกรม Ultherapy Prime สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นผิว SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับการผ่าตัดดึงใบหน้า ทำให้ผิวมีความกระชับเรียบเนียน
  • ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น เนื่องจากเป็นนวัตกรรมที่ไม่ต้องผ่าตัดจึงไม่จำเป็นที่จะต้องพักฟื้น
  • ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 1 ปี หรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลของแต่ละบุคคล
  • เหมาะกับทุกสภาพผิว เพราะสามารถรักษาได้ถึงชั้นผิว SMAS ดังนั้นจึงสามารถรักษาได้ทุกสภาพผิว และยังสามารถทำได้ทั้งลำคอและร่างกายอีกด้วย

โปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะกับใครบ้าง

  • ผู้ที่ผิวมีความหย่อนคล้อยไม่กระชับ
  • ผู้ที่มีปัญหารอยเหี่ยวย่น ร่องแก้ม ริ้วรอย หรือร่องลึก
  • ผู้ที่ต้องการลดไขมันส่วนเกิน บริเวณแก้ม บริเวณใต้คาง สามารถทำให้กรอบหน้าชัด ดูหน้าเรียวขึ้น
  •  ผู้ที่ไม่อยากพักฟื้น
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูโดยไม่ต้องผ่าตัด

การเตรียมตัวก่อนทำ Ultherapy Prime

                1. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจทำเพื่อให้แพทย์ประเมินการรักษาและวางแผนอย่างละเอียด

                2. ทำความสะอาดผิวและฉีดยาชาทำโดยแพทย์หรือผู้ช่วยแพทย์ ประมาณ 40 – 60 นาที เพื่อจะได้รู้สึกสบายผิวในการทำการรักษา

                3. ลงมือทำโปรแกรม Ultherapy Prime ด้วยการยิงพลังงาน Ultrasound ลงถึงชั้นผิว SMAS เพื่อกระตุ้นให้ผิวหนังสร้างคอลลาเจน

สรุปแล้วโปรแกรม Ultherapy Prime และ Ultherapy เป็นเครื่องมือที่ช่วยยกกระชับผิวเหมือนกัน ใช้การส่งพลัง Ultrasound เหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่รูปลักษณ์และประสิทธิภาพที่ Ultherapy Prime จะแม่นยำและดีกว่า สามารถทำได้ทุกสภาพผิวไม่ต้องพักฟื้นเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้

วัยทองคืออะไร แล้วใครบ้างที่สามารถเป็นวัยทองได้ …?

วัยทองคืออะไร

วัยทองหรือที่รู้จักในภาษาอังกฤษว่า “Menopause” เป็นช่วงเวลาที่ผู้หญิงหยุดมีประจำเดือนโดยถาวร ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในผู้หญิงที่อายุระหว่าง 45-55 ปี แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้ก่อนหรือหลังช่วงอายุนี้เล็กน้อย

สาเหตุของวัยทองคืออะไร ?

วัยทองเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะการลดลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมระบบสืบพันธุ์และการมีประจำเดือน

ใครเป็นวัยทองได้บ้าง ?

ทุกผู้หญิงที่ผ่านเข้าสู่ช่วงอายุที่กล่าวมาข้างต้นจะเข้าสู่วัยทองในที่สุด นอกจากนี้ บางกรณีเช่นการผ่าตัดเอามดลูกหรือรังไข่ออก รังสีบำบัด หรือการรักษาด้วยเคมีบำบัดที่ส่งผลกระทบต่อรังไข่ก็อาจทำให้ผู้หญิงเข้าสู่วัยทองได้เร็วขึ้น

วิธีรับมือกับวัยทอง ?

1. การดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจ – ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, กินอาหารที่มีประโยชน์, รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ, และพักผ่อนให้เพียงพอ

2. การใช้ยา – มีการใช้ยาเสริมฮอร์โมนเพื่อบรรเทาอาการวัยทอง แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาข้อดีข้อเสียและความเหมาะสม

3. การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต – ลดการบริโภคคาเฟอีนและแอลกอฮอล์, งดสูบบุหรี่, และหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้อาการร้อนวูบวาบ (hot flashes) เกิดขึ้นง่าย

4. การให้การสนับสนุนทางอารมณ์ – คุยกับเพื่อนหรือครอบครัวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ร่วมกลุ่มสนับสนุน หรือปรึกษาจิตแพทย์หากมีอาการซึมเศร้าหรือวิตกกังวล

วิธีป้องกันไม่ให้เป็นวัยทอง ?

1. การดูแลสุขภาพร่างกาย: การออกกำลังกายสม่ำเสมอสามารถช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเอนดอร์ฟินในร่างกาย ซึ่งช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลียและซึมเศร้าที่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงวัยทอง การออกกำลังกายยังช่วยให้กระดูกแข็งแรง ลดโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุน ซึ่งเป็นโรคที่มักเกิดขึ้นหลังจากวัยทอง

2. การรับประทานอาหารที่สมดุล: อาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีสูง เช่น นมและผลิตภัณฑ์จากนม, ผักใบเขียว, และปลาที่มีไขมัน สามารถช่วยสนับสนุนสุขภาพกระดูก การบริโภคผักผลไม้จำนวนมากและอาหารที่มีไฟเบอร์สูงก็ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี

3. การลดหรืองดการบริโภคสารกระตุ้น: อย่างคาเฟอีนและแอลกอฮอล์สามารถช่วยลดอาการร้อนวูบวาบและปัญหาการนอนหลับ

4. ไม่สูบบุหรี่: การสูบบุหรี่ไม่เพียงแต่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน แต่ยังทำให้เกิดอาการร้อนวูบวาบและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัยทอง

5. การจัดการความเครียด: การฝึกโยคะ การทำสมาธิ และการใช้เวลาผ่อนคลายอาจช่วยให้จัดการกับความเครียดและปรับปรุงอารมณ์ได้

แม้ว่าเราอาจจะทราบว่าวัยทองคืออะไร แต่ไม่สามารถป้องกันไม่ให้เป็นวัยทองได้ แต่การดำเนินชีวิตที่มีสุขภาพดีสามารถช่วยให้ร่างกายและจิตใจพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในช่วงนี้ได้ดียิ่งขึ้นและช่วยให้ผ่านพ้นช่วงเวลานี้ได้ง่ายขึ้น การรับมือกับวัยทองเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ต้องการความเข้าใจและการปรับตัว เป็นไปได้ว่าจะต้องทดลองหลายวิธีเพื่อดูว่าอะไรทำให้รู้สึกดีที่สุดสำหรับตัวเองในช่วงเวลานี้